ท่านเซ่งสิ่ว นักบวชนิกายเซ็นในยุคก่อน ผู้ที่ได้รับการคาดหมายว่าจะเป็นผู้นำในการสืบทอดศาสนาพุทธนิกายเซ็นที่ท่านโพธิธรรม(ตั๊กม้อ)ได้นำมาเผยแผ่ในประเทศจีนยุคนั้น ได้จารึกโกอานบทหนึ่งไว้ ณ ผนังทางเดินของอาราม
กายอุปมาดั่งต้นโพธิ์
ใจเปรียบดังกระจกเงาใส
หมั่นเช็ดชำระฝุ่นออกไป
ให้จิตใจบริสุทธิ์ทุกวัน
ไม่กี่วันให้หลัง มีชายตัดฝืนผู้สันโดษผู้หนึ่งนามเว่ยหลาง ได้มาอ่านโกอานบทนี้บนผนังวัดเข้า จึงเขียนโกอานอีกบทหนึ่งไว้ข้างๆ
ต้นโพธิ์ต้นนั้นหามีไม่
อีกทั้งไม่มีกระจกเงาใส
แท้จริงหามีสิ่งใด
แล้วฝุ่นจะเกาะได้ที่ใดกัน
โกอานของชายตัดฟืนได้ถูกพบหลังจากนั้น ผู้พบเห็นต่างคนก็ต่างซาบซึ้ง และคิดกันว่าคงเป็นของพระอรหันต์ที่น่านับถือท่านใดท่านหนึ่ง
เรื่องที่ผมเล่ามานี้ประโยคบางท่อนบางตอน หรือชื่อบุคคลอาจจะผิดเพี้ยนไปบ้าง แต่มั่นใจว่าใจความสำคัญยังคงเดิม
อาจจะจบลงแบบห้วนๆ ไม่ได้มีข้อสรุปอันใดในที่นี้ เพราะเชื่อว่าต่างคนย่อมต้องมีความเห็นแตกต่างกันไปแม้สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือสิ่งเดียวกันโดยสมบูรณ์ครบถ้วน
แต่ผมก็จะขออนุญาตแสดงความคิดเห็นกับเรื่องนี้ให้ทุกคนได้อ่าน รับรู้ หรือกระทั่งวิจารณ์ก็ยินดี
ท่านเซ่งสิ่วคงจะมองว่าการจะบรรลุธรรมได้นั้นต้องอาศัยความเพียร นั่งเพ่งมองที่จิตของตนเพื่อค้นหาสิ่งสกปรกที่อาจจะจับอยู่ในซอกใดของจิตใจ และจิตใจที่เปราะบางก็ยังอาจจะถูกกิเลสเข้ามาทำให้สกปรกได้อยู่เสมอ จึงจำเป็นที่เราต้องหมั่นชำระจิตใจอยู่ตลอดเวลาเพื่อไม่ให้กิเลสมันพอกพูนหนาขึ้นจนไม่สามารถขจัดให้หมดสิ้นได้ และแน่นอนว่าเมื่อจิตใจได้ถูกชำระล้างจนสะอาดทุกวันก็จะสะท้อนไปให้เกิดกระทำที่สะอาดเฉกเช่นกัน และต้นโพธิ์หรือพระธรรมในตัวเราก็จะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
ในส่วนของเว่ยหลาง ตัวตนไม่มี จิตก็ว่างเปล่า แล้วกิเลสจะเกิดขึ้นได้อย่างไร สิ่งสกปรกจะไปจับรอยเปื้อนได้ที่ใด เมื่อไม่มีสิ่งใดทั้งนั้นที่เป็นของเรา กิเลสก็ไม่ได้เป็นของเรา ก็ไม่มีสิ่งใดที่จะต้องชำระล้างให้บริสุทธิ์
ผมไม่ได้เห็นว่าความคิดของท่านใดจะผิด และไม่ได้เห็นว่าเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกันเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าจะเป็นวิธีคิดที่แตกต่างแต่ก็นำไปสู่จุดหมายเดียวกัน วิถีทางท่านเซ่งสิ่วอาจจะเป็นวิถีที่ต้องเน้นการปฏิบัติอย่างหมั่นเพียรและค่อยเป็นค่อยไป ขณะที่วิถีของเว่ยหลางเป็นวิถีที่อาจจะบรรลุได้เพียงชั่วข้ามคืน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ว่าจะวิถีใดก็สามารถนำพาไปสู่การบรรลุธรรมได้เช่นกัน
วิถีชีวิตคนไทยปัจจุบันแม้จะดูเหมือนยังใกล้ชิดศาสนาแต่กลับห่างไกลหลักธรรมออกไปทุกที จริงๆ แล้วคนไทยไม่ได้เป็นคนเบาปัญญาขนาดที่จะไม่สามารถเข้าใจปรัชญาที่แท้จริงของศาสนา เพียงแต่เป็นคนรักความสบายจนเคยชิน เมื่อธรรมะเป็นนามธรรมที่หากต้องการที่จะสัมผัสอาจต้องใช้ความเพียรในระดับหนึ่ง นักการตลาดในคราบนักบุญจรึงสร้างพระเครื่องรุ่นต่างๆ ออกมามากมายหลายระดับ นัยว่าแต่ละรุ่นมีความศักดิ์สิทธิ์ไม่เท่ากัน เป็นทางลัดให้ผู้ที่นำไปบูชารู้สึกว่าตนได้เข้าถึงในรสพระธรรมแล้ว เฉกเช่นกับการบริจาคเงินสร้างวัตถุมงคล หรืออารามสถานต่างๆ คงเป็นเพียงการจับเอาบุญมาแปรรูปให้จับต้องได้ง่ายขึ้น จนกลายเป็นว่าคนหนึ่งคนสามารถมีบุญได้เพียงแค่มีเงินในกระเป๋า ทุกวันนี้หลายอย่างๆ ที่เกี่ยวกับศาสนาถูกพยายามที่จะนำไปแปรรูปให้เป็นวัตถุให้เห็นชัดเจน ทั้งๆ ที่คำสอนของพระศาสดาหวังให้มนุษย์หลุดพ้นจากความยึดติดในรูปภายนอก ความยึดติดนี้ยังลุกลามไปถึงคนและพระกลุ่มหนึ่งที่พยายามจะเรียกร้องให้รัฐรรมนูญกำหนดว่าพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติโดยให้เหตุผลว่าเพื่อรักษาความเป็นพุทธศาสนาให้ยังคงอยู่ต่อไป จนลืมนึกไปว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะรักษาศาสนาไว้ได้คือการปฏิบัติดีและการชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ ดังที่พระพุทธเจ้าได้แสดงไว้เป็นตัวอย่าง
ก็คงยังไม่ได้เลวร้ายเกินไปหากทุกคนยอมรับความแตกต่างทางความคิด และก็คงจะไม่มีความวุ่นวายในบ้านเมืองหากทุกคนยอมที่จะทิ้งความเป็นตัวกูของกูลงได้ และพยายามที่จะสมดุลโลกให้ยังกลมอยูทั้งในด้านรูปธรรมและนามธรรม
Thursday, February 14, 2008
Wednesday, February 13, 2008
ทุกๆ วาเลนไทน์
"เซ็งจริงๆ ช็อคโกแลตก็ไม่ได้ซักก้อน ดอกไม้ก็ไม่รู้จะซื้อไปให้ใคร"
ความรู้สึกนี้บางคนคงเคยเป็นมาบ้าง ไอ้ครั้นจะไประบายกับคนที่เค้ามีแฟนอยู่ก็คงไม่ค่อยเข้าใจหัวอกหนุ่มโสดหน้าตาดีอย่างเรา
ทุกปีพอเวียนมาถึงวันที่ 14 กุมภา ก้าวเข้าสู่ช่วงเวลาที่หลายๆ คน กำลังมีความสุขอยู่กับคนรัก บางคนอาจกำลังดินเนอร์สุดโรแมนติกใต้แสงเทียนในภัตราคารหรูหราอลังการที่สุดในกรุงเทพ บางคนอาจจะใช้เวลาด้วยกันดูหนังรักโรแมนติกซักเรื่อง บางคนอาจจะกำลังจู๋จี๋กันอยู่บนเตียงนอนนุ่มๆ โดยที่ฝ่ายชายกำลังลุ้นตัวโก่งว่าจะได้หรือไม่ได้ หรือบางคนอาจจะกำลังซดต้มแซ่บ ผลัดกันตักลาบเป็ดป้อนกันไปป้อนกันมา มีข้าวคั่วติดที่มุมปากพอน่ารักน่าหยิก
แต่ตัวกระผมนั้น เป็นต้องนั่งคิดในใจว่าปีนี้และทุกๆ ปีจะเอาไงดี(วะ) จะทำอะไรดีในเวลาที่ทุกคนมีโลกส่วนตัว ไอ้ผมก็มีโลกส่วนตัวเหมือนกันแต่เป็นส่วนตัวแบบสุดๆ (ตัวคนเดียว) เลยไม่มีใครช่วยคิดว่าวันนี้มันต้องทำอะไรบ้างถึงจะเป็นการตอบแทนให้ปฏิทินแม่โขงข้างฝาบ้านที่อุตส่าห์เวียนมาถึง 14 กุมภาอีกครั้ง
คิดไปคิดมาก็พบสัจธรรมข้อหนึ่งแบบเข้าข้างตัวเองเล็กน้อยถึงปานกลางว่า เฮ้ย! วันวาเลนไทน์มันก็เป็นแค่วันธรรมดาวันหนึ่ง มี 24 ชั่วโมงเท่ากับวันอื่นๆ ต้องมานั่งกดเมาส์ที่ทำงานเล่นและทำคิ้วขมวดนิดๆ ให้ดูเหมือนกำลังทำงานเช่นเดียววันอื่นๆ เงินเดือนก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นเป็นพิเศษ เวลาตื่นนอนเราก็ยังขี้เกียจลุกจากเตียงต้องขอนอนเพิ่มอีกซัก 5 นาทีเหมือนเดิม รถก็ยังติดเหมือนทุกวันหรืออาจจะติดมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ นักการเมืองก็ยังคงน้ำเน่า ฟุตบอลทีมชาติไทยก็ยังไม่ได้ไปบอลโลก สรุปว่าทุกสิ่งทุกอย่างยังเหมือนกับวันอื่นๆ วันวาเลนไทน์ก็คงเป็นแค่วันที่ผู้คนทั่วโลกพร้อมใจกันอุปโลกขึ้นมาว่ามันสำคัญยิ่งนัก ต้องขวนขวายหาทางบอกรักคนที่เราแอบมอง(ขาอ่อน)อยู่ทุกวัน หรือต้องพาแฟนไปแสดงความรักให้โลกนี้ได้รับรู้ให้ได้
พอคิดเข้าข้างตัวเองจนหนำใจ ก็ถึงเวลาที่ต้องออกมาผจญกับโลกแห่งความจริง ให้ตายสิ!ก้าวแรกที่ย่างเท้าออกมาจากประตูบ้าน ก็ต้องได้ยินเพลงนี้อยู่ทุกครั้ง "วันนี้.. วันวาเลนไทน์ หนุ่มสาวชาวบ้าน เบิกบานจิตใจจริงเอย..." (เอ.. จำผิดวันรึเปล่าเนี่ย) พอเดินออกมาหน้าปากซอย ดอกกุหลาบกองเบ้อเริ่มวางขายขวางทางเดิน ไม่ใช่แค่กองเดียว นับได้หลายกองเกินกว่าที่นิ้วมือและนิ้วตีนรวมกันจะนับได้หมดโดยที่ไม่ต้องทดไว้ในใจ
ขึ้นรถเมล์ก็เห็นผู้ชายบางคนยืนถือช่อดอกไม้ช่อใหญ่อมยิ้มทำหน้าตามิพิรุธ ส่วนผู้หญิงที่นั่งอยู่ที่เบาะติดกันก็นั่งมองไปนอกหน้าต่างและอมยิ้มทำหน้าตามีพิรุธแบบเดียวกันเป๊ะ สรุปว่าคงจะไปทำอะไรมีพิรุธด้วยกันต่อมั้ง
ทุกที่ที่เดินผ่านต่างก็ถูกแต่งแต้มด้วยดอกไม้ สีชมพู เพลงรักโรแมนติก รูปหัวใจ ข้อความซึ้งๆ รอยยิ้ม อบอวลไปด้วยความรัก ล่องลอยอยู่ในอากาศ และประทับอยู่ในความรู้สึกของหลายๆ คน
ว่ากันว่าความรักคือสิ่งที่สร้างโลกนี้อย่างแท้จริง เป็นสิ่งที่ยังคงอยู่ตลอดกาลไม่ว่าโลกนี้จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
อ้าว แต่ทำไมวันวาเลนไทน์นี้กลับดูเหมือนเป็นโลกที่ไม่ได้ต้อนรับคนอย่างผม วันนี้มันสร้างขึ้นมาเพื่อคนที่มีความรักเท่านั้นหรือเนี่ย แล้วอย่างนี้ผมควรจะไปยืนอยู่ตรงไหนกันดีล่ะทีนี้ ทุกที่ที่ผ่านมามันไม่ใช่ที่ที่พร้อมจะรับคนอย่างผมเข้าไป คนที่ยังไม่รู้ว่าวันนี้สำคัญยังไง ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรในวันสำคัญขนาดนี้
มนุษย์ก็เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่ต้องการสังคม ต้องการการยอมรับ ไม่อยากที่จะอยู่อย่างแปลกแยกซักเท่าไหร่นักหรอก พูดง่ายๆ ว่าขี้เหงานั่นเองแหละ
และในที่สุด ผมก็ต้องควักเงินออกมาหนึ่งร้อย(ก็แค่เศษเงินสำหรับมหาเศรษฐีอย่างผม) ซื้อดอกกุหลาบดอกละสิบบาทมาสิบดอก เพื่อเอาไปส่งให้กับคนที่กำลังมีโลกแบบเดียวกับผม โลกที่เป็นส่วนตัวเกินไปจนทำรู้สึกว่าถูกแบ่งแยกจากสังคมเป็นบางเวลา
นี่แหละชีวิตในโลกส่วนตัวสุดๆ คนเดียวของผม ซึ่งก็มีบางครั้งที่อยากไปเป็นส่วนหนึ่งในโลกส่วนตัวของคนอื่นบ้างเหมือนกัน
ความรู้สึกนี้บางคนคงเคยเป็นมาบ้าง ไอ้ครั้นจะไประบายกับคนที่เค้ามีแฟนอยู่ก็คงไม่ค่อยเข้าใจหัวอกหนุ่มโสดหน้าตาดีอย่างเรา
ทุกปีพอเวียนมาถึงวันที่ 14 กุมภา ก้าวเข้าสู่ช่วงเวลาที่หลายๆ คน กำลังมีความสุขอยู่กับคนรัก บางคนอาจกำลังดินเนอร์สุดโรแมนติกใต้แสงเทียนในภัตราคารหรูหราอลังการที่สุดในกรุงเทพ บางคนอาจจะใช้เวลาด้วยกันดูหนังรักโรแมนติกซักเรื่อง บางคนอาจจะกำลังจู๋จี๋กันอยู่บนเตียงนอนนุ่มๆ โดยที่ฝ่ายชายกำลังลุ้นตัวโก่งว่าจะได้หรือไม่ได้ หรือบางคนอาจจะกำลังซดต้มแซ่บ ผลัดกันตักลาบเป็ดป้อนกันไปป้อนกันมา มีข้าวคั่วติดที่มุมปากพอน่ารักน่าหยิก
แต่ตัวกระผมนั้น เป็นต้องนั่งคิดในใจว่าปีนี้และทุกๆ ปีจะเอาไงดี(วะ) จะทำอะไรดีในเวลาที่ทุกคนมีโลกส่วนตัว ไอ้ผมก็มีโลกส่วนตัวเหมือนกันแต่เป็นส่วนตัวแบบสุดๆ (ตัวคนเดียว) เลยไม่มีใครช่วยคิดว่าวันนี้มันต้องทำอะไรบ้างถึงจะเป็นการตอบแทนให้ปฏิทินแม่โขงข้างฝาบ้านที่อุตส่าห์เวียนมาถึง 14 กุมภาอีกครั้ง
คิดไปคิดมาก็พบสัจธรรมข้อหนึ่งแบบเข้าข้างตัวเองเล็กน้อยถึงปานกลางว่า เฮ้ย! วันวาเลนไทน์มันก็เป็นแค่วันธรรมดาวันหนึ่ง มี 24 ชั่วโมงเท่ากับวันอื่นๆ ต้องมานั่งกดเมาส์ที่ทำงานเล่นและทำคิ้วขมวดนิดๆ ให้ดูเหมือนกำลังทำงานเช่นเดียววันอื่นๆ เงินเดือนก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นเป็นพิเศษ เวลาตื่นนอนเราก็ยังขี้เกียจลุกจากเตียงต้องขอนอนเพิ่มอีกซัก 5 นาทีเหมือนเดิม รถก็ยังติดเหมือนทุกวันหรืออาจจะติดมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ นักการเมืองก็ยังคงน้ำเน่า ฟุตบอลทีมชาติไทยก็ยังไม่ได้ไปบอลโลก สรุปว่าทุกสิ่งทุกอย่างยังเหมือนกับวันอื่นๆ วันวาเลนไทน์ก็คงเป็นแค่วันที่ผู้คนทั่วโลกพร้อมใจกันอุปโลกขึ้นมาว่ามันสำคัญยิ่งนัก ต้องขวนขวายหาทางบอกรักคนที่เราแอบมอง(ขาอ่อน)อยู่ทุกวัน หรือต้องพาแฟนไปแสดงความรักให้โลกนี้ได้รับรู้ให้ได้
พอคิดเข้าข้างตัวเองจนหนำใจ ก็ถึงเวลาที่ต้องออกมาผจญกับโลกแห่งความจริง ให้ตายสิ!ก้าวแรกที่ย่างเท้าออกมาจากประตูบ้าน ก็ต้องได้ยินเพลงนี้อยู่ทุกครั้ง "วันนี้.. วันวาเลนไทน์ หนุ่มสาวชาวบ้าน เบิกบานจิตใจจริงเอย..." (เอ.. จำผิดวันรึเปล่าเนี่ย) พอเดินออกมาหน้าปากซอย ดอกกุหลาบกองเบ้อเริ่มวางขายขวางทางเดิน ไม่ใช่แค่กองเดียว นับได้หลายกองเกินกว่าที่นิ้วมือและนิ้วตีนรวมกันจะนับได้หมดโดยที่ไม่ต้องทดไว้ในใจ
ขึ้นรถเมล์ก็เห็นผู้ชายบางคนยืนถือช่อดอกไม้ช่อใหญ่อมยิ้มทำหน้าตามิพิรุธ ส่วนผู้หญิงที่นั่งอยู่ที่เบาะติดกันก็นั่งมองไปนอกหน้าต่างและอมยิ้มทำหน้าตามีพิรุธแบบเดียวกันเป๊ะ สรุปว่าคงจะไปทำอะไรมีพิรุธด้วยกันต่อมั้ง
ทุกที่ที่เดินผ่านต่างก็ถูกแต่งแต้มด้วยดอกไม้ สีชมพู เพลงรักโรแมนติก รูปหัวใจ ข้อความซึ้งๆ รอยยิ้ม อบอวลไปด้วยความรัก ล่องลอยอยู่ในอากาศ และประทับอยู่ในความรู้สึกของหลายๆ คน
ว่ากันว่าความรักคือสิ่งที่สร้างโลกนี้อย่างแท้จริง เป็นสิ่งที่ยังคงอยู่ตลอดกาลไม่ว่าโลกนี้จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
อ้าว แต่ทำไมวันวาเลนไทน์นี้กลับดูเหมือนเป็นโลกที่ไม่ได้ต้อนรับคนอย่างผม วันนี้มันสร้างขึ้นมาเพื่อคนที่มีความรักเท่านั้นหรือเนี่ย แล้วอย่างนี้ผมควรจะไปยืนอยู่ตรงไหนกันดีล่ะทีนี้ ทุกที่ที่ผ่านมามันไม่ใช่ที่ที่พร้อมจะรับคนอย่างผมเข้าไป คนที่ยังไม่รู้ว่าวันนี้สำคัญยังไง ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรในวันสำคัญขนาดนี้
มนุษย์ก็เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่ต้องการสังคม ต้องการการยอมรับ ไม่อยากที่จะอยู่อย่างแปลกแยกซักเท่าไหร่นักหรอก พูดง่ายๆ ว่าขี้เหงานั่นเองแหละ
และในที่สุด ผมก็ต้องควักเงินออกมาหนึ่งร้อย(ก็แค่เศษเงินสำหรับมหาเศรษฐีอย่างผม) ซื้อดอกกุหลาบดอกละสิบบาทมาสิบดอก เพื่อเอาไปส่งให้กับคนที่กำลังมีโลกแบบเดียวกับผม โลกที่เป็นส่วนตัวเกินไปจนทำรู้สึกว่าถูกแบ่งแยกจากสังคมเป็นบางเวลา
นี่แหละชีวิตในโลกส่วนตัวสุดๆ คนเดียวของผม ซึ่งก็มีบางครั้งที่อยากไปเป็นส่วนหนึ่งในโลกส่วนตัวของคนอื่นบ้างเหมือนกัน
Subscribe to:
Posts (Atom)